After Shock
มีนาคม 26, 2011
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นส่งผลกระทบกับมนุษย์มากมาย
คลื่นยักษ์ซึนามิที่ซัดเข้าชายฝั่ง ทำให้บ้านเรือนพังเสียหายและผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
ไหนจะการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะ
มีรายงานข่าวบอกว่า แผ่นดินไหวในครั้งนี้ ทำให้เกาะฮอนชูเคลื่อนจากตำแหน่งเดิมถึง 8 ฟุต และยังทำให้แกนโลกขยับอีก 10 เซนติเมตร
แผ่นดินไหวไม่ได้สะเทือนแค่เพียงประเทศญี่ปุ่น แต่มันได้ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย
————————————————————————————————
ชีวิตของพนักงานไทยที่ทำงานในบริษัทญี่ปุ่น
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นมากอย่างแน่นอน
เราจะเห็นได้ว่า มีบริษัทข้ามชาติจากญี่ปุ่นมากมายที่เข้ามาลงทุนในประเทศ การเข้ามาของบริษัทเหล่านี้ทำให้เกิดการจ้างงานที่มากขึ้น ทำให้ประชากรของประเทศไทยมีงานทำ และลดภาวะว่างงานของประเทศเราได้มากด้วย
แต่เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นง่อยหงิกอย่างนี้ ก็ย่อมส่งผลกับชีวิตของพนักงานไทยด้วยอยู่แล้ว
ผมมีเพื่อนที่ทำงานในบริษัทญี่ปุ่นคนหนึ่ง มันเคยบ่นว่า “เกิดแผ่นดินไหวอย่างนี้ ก็ขอให้อย่าได้เลื่อนจ่ายโบนัสเลย” คำพูดของมันทำให้ผมเห็นภาพของเรื่องนี้ชัดเจนขึ้น ก็เพราะเมื่อเกิดปัญหากับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นแล้ว จะไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทลูกได้อย่างไร
ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีอยู่ ถึงแม้เหล่าพนักงานจะได้รับผลกระทบกับเรื่องเงินๆทองๆจากแผ่นดินไหวในครั้งนี้ก็จริง แต่ผมก็เชื่อว่าพวกเขาพอจะมีเรื่องดีๆเข้ามาบ้าง
หากบริษัทสั่งให้มีการชะลอการผลิต นั่นก็เท่ากับว่า งานของพวกเขาก็น้อยลงไปด้วย
นั่นเท่ากับว่า ทำให้พวกเขามีเวลาพักผ่อนในเวลาทำงานมากขึ้น และอาจจะพักผ่อนได้นานขึ้นไปอีกหากบริษัทสั่งให้หยุดงาน
และบางคนอาจจะได้พักนานกว่าคนอื่น หากบริษัทมีนโยบายเลิกจ้างพนักงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัท
————————————————————————————————
ผลกระทบของร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย
อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในหลายๆประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย
ในประเทศไทย ผู้คนนิยมกินอาหารญี่ปุ่นกันมาก จะเห็นได้จากจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในกรุงเทพ ทั้งที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าและในย่านธุรกิจ
หลายร้านนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศญี่ปุ่น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์การรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสี ก็ทำให้ผู้คนกลัวว่าจะมีสารปนเปื้อนอยู่ในอาหาร หลายประเทศมีการตรวจสอบอย่างเข้มมงวดกับอาหารที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น บางประเทศก็ถึงขั้นสั่งห้ามนำเข้าเลยทีเดียว
การสร้างความน่าเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ดูจะเป็นเรื่องสำคัญมาก
ตัวอย่างหนึ่งก็คือ ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งในฮ่องกง มีการนำเครื่องวัดกัมมันตภาพรังสีมาวัดกับอาหารเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ไม่แน่เหมือนกัน ต่อเราอาจจะเห็นสาวเสิร์ฟร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยถือเครื่องวัดกัมมันตภาพรังสีกันทุกคนก็เป็นได้
ในเมื่อนำเข้าไม่ได้ ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยก็คงต้องปรับตัว มีความเป็นไปได้ที่ร้านอาหารเหล่านี้จะต้องเปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบในไทยก็เป็นได้ ต่อไปเราอาจจะได้เห็น ซูชิปลาช่อนนา , ข้าวปั้นหน้าไข่กุ้งแม่น้ำ , และข้าวหน้าปลาไหลข้างวัด…..
————————————————————————————————
การปรับตัวขึ้นของราคาก๊าซหุงต้ม
เมื่อโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เกิดเสียหายขึ้นมา ก็ทำให้ญี่ปุ่นเกิดความขาดแคลนพลังงานเป็นอย่างมาก ญี่ปุ่นจึงจำเป็นต้องนำเข้าพลังงานเพื่อนำมาใช้ภายในประเทศ และก๊าซหุงต้มก็เป็นพลังงานที่ญี่ปุ่นต้องการ
ต่อจากนี้ญี่ปุ่นก็คงจะกว้านซื้อก๊าซหุงต้มให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ นั่นอาจจะทำให้ประเทศอื่นเกิดภาวะขาดแคลนตามไปด้วย ซึ่งก็รวมถึงประเทศไทยของเรา และอาจจะเป็นปัจจัยให้ราคาของก๊าซหุงต้มปรับตัวสูงขึ้น
แม้ว่าซาอุดิอาระเบียในฐานะผู้ส่งออกก๊าซหุงต้มรายใหญ่ จะบอกว่ามีปริมาณของก๊าซเพียงพอต่อความต้องการของโลก ถึงอย่างไรพวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือญี่ปุ่นก่อน
————————————————————————————————
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ส่งผลกระทบออกไปเป็นวงกว้าง
แต่ท่ามกลางความโศกเศร้าและความเดือดร้อนของผู้คน ผมก็มองเห็นภาพของผู้คนเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
ผมมีความเชื่อว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้มีส่วนช่วยยกระดับจิตใจของคนไทยให้สูงขึ้นไม่มากก็น้อย และมันยังทำให้เราตระหนักและเฝ้าระวังกับเหตุการณ์วันข้างหน้า ซึ่งในวันนั้นอาจจะเป็นเราก็ได้ที่ต้องประสบชะตากรรมเช่นกับเดียวญี่ปุ่น
ปิดตาข้างนึง
มกราคม 27, 2011
กรกฎาคม 6, 2009
ทุกวันนี้เราต้องยอมรับอย่างไม่เกรงว่าใคร จะด่าว่าเป็นพวกเห่อของนอกกันเลยนะครับ เพราะจะเห็นได้จากมองไปทางไหน ก็เห็นใครๆ เขาอยู่ในกระแสเกาหลีฟีเวอร์กันทั้งนั้น ด้วยความไม่อยากตกกระแส วันนี้ก็ขอ’เกาหลี’กับเขาบ้าง
ท่ามกลางวัฒนธรรมเกาหลีที่ถาโถมเข้ามาสู่ประเทศของเรา ชอนไชไปสู่ทุกเพศทุกวัยและทุกครัวเรือน ต้องยอมรับว่าความเป็น ‘เกาหลี’ เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของเราอย่างมากๆครับ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเทคโนโลยี อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว เศรษฐกิจ การเมือง และจะลืมไม่พูดถึงวงการบันเทิงก็คงจะไม่ได้
สิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีก็คือ ภาพที่เราเห็นวัยรุ่นไทยไปกรี๊ดหนุ่มBoy bandของเกาหลีตามคอนเสิร์ตต่างๆ เวลาภาพนี้ออกไปตามหน้าจอทีวี ผมมักได้ยินผู้ใหญ่พูดว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้ว่า ‘อะไรมันจะขนาดนั้น’ ทำนองว่าไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับพฤติกรรมการไปกรี๊ดหนุ่ม เกาหลี แต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือผู้ใหญ่พวกนั้นกลับเป็นสาวกชั้นดีของซีรี่ส์เกาหลี เข้าทำนอง ‘ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง’เลยนะครับ ผมเดาว่าหากพระเอกซีรี่ส์เกาหลีมาเมืองไทย และหากเวลาพอจะสงเคราะห์โหลดอายุของผู้ใหญ่พวกนั้นให้ลงมาเป็นวัยรุ่นซักหน่อย พวกเขาอาจจะตามไปกรี๊ดพระเอกซีรี่ส์เกาหลีก็เป็นได้ เหตุที่ไปว่าวัยรุ่นกลุ่มนั้นอาจจะเป็นเพราะสังขารไม่เอื้อเลยไม่มีแรงจะไปก็เป็นได้ ด้วยแรงริษยาจึงทำเป็นตำหนิกลบเกลื่อนไป
ผมก็เป็นคนนึงครับ ที่มีโอกาสได้ดูหนังของเกาหลีบ้าง ผมสังเกตว่าหนังของเกาหลีหลายๆเรื่องที่ทำให้ผู้คนติดตามกันมาก ก็เพราะหนังของเกาหลีแต่ละเรื่องนั้นกระแทก กระทั้น กระชาก กระเทือน อารมณ์คนดูได้อย่างดี เดาว่าได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมของ William Shakespeare ผู้นำกลุ่ม Romanticism
มีภาพยนตร์เรื่องนึงของเกาหลีที่ผมเข้าขั้นชอบเอามากๆทีเดียวนั่นคือ Tae Geuk Ki หนังเล่าเรื่องราวสมัยสงครามเกาหลีที่ต้องมีการเกณฑ์ผู้คนไปเป็นทหาร สองพี่น้องตัวเอกของเรื่องก็หนีไม่พ้น ถูกเกณฑ์ให้ไปรบในสงครามด้วย หนังทำออกมาได้อย่างน่าเชื่อว่าเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น ไม่รู้ว่าตอนดูผมอินกับหนังเรื่องนี้เกินรึเปล่า พอดีเคยอ่านหนังสือ ‘หลั่งเลือดที่นานกิง’ ของไอริส จาง ภาพจินตนาการจึงชัดเจนมากขึ้น หนังเรื่องนี้ทำให้เราเห็นภาพประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเกาหลีได้เป็นอย่าง ดี ทำให้รู้สึกว่าพวกประเทศมหาอำนาจที่มีความเชื่อกันอย่างสุดต่างอย่าง America กับ Russia เห็นประเทศด้อยกำลังกว่าเป็นกระดานหมากรุก
ทุกวันนี้เราจึงเห็นเกาหลีแบ่งออกเป็นสอง ก็คือ เกาหลีเหนือ กับ เกาหลีใต้ สองค่ายในหนึ่งประเทศนึ้ มีความแตกต่างแต่อยู่ด้วยกันคล้ายเครื่องหมาย Yin-Yang และภาพที่สายตาชาวโลกที่มองมายังสองค่ายนี้ก็แตกต่างกันเหลือเกิน
หากจะพูดถึง ‘เกาหลีใต้’ ภาพที่เราคิดก็คือเกาหลีที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม(Capitalism) มีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นที่ชื่นชมในสายตาชาวโลก และเป็นมิตรกับสหประชาชาติ ไม่เชื่อลองไปถาม บัน คี มูน ดูได้นะครับ
แต่หากเราจะพูดถึง ‘เกาหลีเหนือ’ ก็คงจะนึกถึงประเทศที่เชื่อในระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์(Communism) ถูกคว่ำบาตรจากนานาประเทศ เป็นเกาหลีที่มีแสนยานุภาพทางการทหารอย่างมาก เป็นเกาหลีที่สะสมอาวุธนิวเคลียร์ และเป็นเกาหลีที่ชอบทดลองยิงขีปนาวุธ หากคุณอยากรู้จัก ‘เกาหลีเหนือ’ มากกว่านี้คงต้องหาโอกาสไปคุยกับ คิม จอง อิล แล้ว
มีเรื่องที่น่าสนใจของ ‘เกาหลีเหนือ’ อย่างนึงที่ผมทราบมาจากวิชา ‘การบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ’ ในสมัยตอนเรียนมหาลัยปี 3 อาจารย์เล่าว่าผู้คนใน ‘เกาหลีเหนือ’ อดอยากกันมากถึงขั้นเอารองเท้าบู๊ตมากิน แม้จะไม่ได้เห็นภาพนะครับ แต่ฟังดูแล้วก็รู้สึกว่าคงจะโคตรลำบากน่าดู ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับสหประชาชาติที่คว่ำบาตร ‘เกาหลีเหนือ’ ซักเท่าไหร่ วิธีที่น่าจะดีกว่าก็คือการเข้าไปทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คนใน ‘เกาหลีเหนือ’ดีขึ้น การคว่ำบาตรดูจะเป็นการซ้ำเติมซะมากกว่า มันคงไม่ทำให้ ’เกาหลีเหนือ’ หยุดทดลองยิงขีปนาวุธเพื่อเรียกร้องความสนใจขากชาวโลก บางทีต้องให้ ‘เกาหลีเหนือ’ หันหัวขีปนาวุธไปทางสำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาติในนิวยอร์ค เพื่อเรียกร้องให้เอารองเท้าบู๊ตมาให้กินกระมัง สหประชาชาติถึงจะเข้าไปปรับเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของพวกเขา
ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้มีอคติกับกับคนที่ชื่นชอบความเป็นเกาหลีและก็ไม่ได้ แอนตี้กับวัฒนธรรมเกาหลีอะไรนะครับ เพียงแต่ว่าอยากจะสะเออะออกความเห็นว่า เราควรจะศึกษาและมองในหลายๆมุมหลายๆด้าน หากเราเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น บางทีเราอาจจะภูมใจในความเป็นเรามากกว่าที่จะชื่นชมความเป็นเขา หลังๆมาผมได้ยินข่าวในทางลบของวงการบันเทิงเกาหลีเยอะมากขึ้น ทั้งข่าวดาราติดยา หรือการทำศัลยกรรมของดาราคนนู้นคนนี้ การที่เรามองอะไรในด้านเดียวก็คล้ายกับเราเอามือปิดตาตัวเองอีกข้างนึงไว้
มีเรื่องเล่าว่า ในงานเลี้ยงฉลองหลังจากคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสกลับจากการค้นพบอเมริกา มีคนถามว่า”คุณคิดว่ามีคนจะทำได้อย่างคุณไหมหรือเป็นเรืองที่ใครก็ทำได้” โคลัมบัสไม่ตอบ พร้อมกับชูไข่ใบนึงแล้วถามว่าใครสามารถตั้งไข่ใบนี้โดยไม่ให้ล้มได้ ไม่มีใครซักคนที่จะตอบรับ จากนั้นโคลัมบัสจึงเจาะเปลือกไข่ทางด้านล่างให้เป็นวงกลมแต่ไม่ให้ไข่ แตก แล้ววางลงไข่บนโต๊ะ สิ่งที่โคลัมบัสพยายามจะบอกก็คือ การเป็นผู้นำยากกว่าการเป็นผู้ตาม(คัดลอกมาจากหนังสือแคปิตะลิสม์ ของคุณสุภา ศิริมานนท์)
ไม่แน่นะครับ วันนึงเพลง”จั๊งซี่มันต้องถอน” ของปอยฝ้าย มาลัยพร อาจจะโด่งดังขึ้น Billboard Chart ในอเมริกา แล้ววัยรุ่นเกาหลีอาจจะพากันร้องเพลงหมอลำกันยกใหญ่ และวัยรุ่นไทยก็คงจะตามกระแสโลกกับเขา โดยที่ก่อนหน้านี้เราไม่เคยที่จะนึกภูมิใจกับมัน
คุณค่าของการพังทลาย
มกราคม 27, 2011
มิถุนายน 29, 2009
วันนี้ผมอยู่ที่หอศิลป์กรุงเทพ
ผมนั่งเขียน(บทระบาย)นี้ที่นี่ ก็คือ ที่หอศิลป์นั่นเอง
ผมฉุกคิดถึงเรื่องๆหนึ่ง เกี่ยวกับสิ่งที่คนเราอยากจะทำหรือความผันที่เราอยากจะเป็น
บางครั้ง สิ่งที่เราต้องการมันไม่ได้รับการสนอง ก่อกำเนิดความล้มเหลวให้เราต้องรับไปเป็นของกำนัล
ผมกำลังนึกถึง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำเผด็จการนาซีคนนั้น
คุณเชื่อไหมว่า ครั้งหนึ่งเขาคนนี้เคยผันว่า อยากจะเป็นศิลปินระดับโลก เหมือนฮีโร่ของเขา คือไมเคิล แองเจลโล จริงๆแล้ว ผีมือการวาดภาพของเขาก็ไม่ธรรมดาทีเดียว ผมเคยเห็นภาพงาน Sketch ของเขา ในหนังสือที่เขาเป็นผู้เขียนขึ้นมามีชื่อว่า “การต่อสู้ของข้าพเจ้า”
เรื่องราวของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์มีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่เยอะ คุณเชื่อไหมว่าชายคนนี้ทำงานให้กับประเทศของเขาโดยไม่รับเงินเดือน เงินที่เขาใช้จ่ายล้วนมาจากการขายหนังสือที่เขียนขึ้นมาทั้งนั้น
ผมขอเล่าต่ออีกนิดนึงว่า หนังสือเล่มนี้ เขาเขียนขึ้นระหว่างที่เขาถูกจับอยู่ในเรือนจำ เหตุเพราะเขาก่อการปฏิวัติขึ้นแต่ไม่สำเร็จ (สู้คณะปฏิวัติบางกลุ่มของไทยก็ไม่ได้) ผมได้รับข้อมูลที่น่าสนใจอย่างหนึ่งมาจากหนังสือ “ทางสู้ชีวิต” ของหลวงวิจิตวาทการ ท่านบอกว่า อดอล์ฟ ฮิตเลิอร์นั้นเป็นคนไม่สูบบุหรี่และไม่กินเหล้า ผมไม่รู้ว่าข้อมูลที่ผมได้รับมาและบอกกล่าวกับคุณไปนั้นจะถูกหรือผิด คงต้องรบกวนให้คุณไปพิสูจน์กับหนังสือที่บอกไป หากคุณต้องการตำตอบ
ช่วงเวลาหนึ่งผมเคยคุยกับผู้ใหญ่คนนึงเกี่ยวกับเรื่องราวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในวงสนทนาเขาบอกว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จริง ๆแล้วเขาก็เป็นคนเก่งที่ใช้ได้คนนึง แต่เพราะความล้มเหลว นำเขาเข้าสู่การเป็นแฟนพันธุ์แท้การฆ่าอย่างที่เรารับรู้กัน
จริง ๆผมก็รู้สึกว่าในตัวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์นั้นก็มีมุมดีอยู่หลายอย่าง เช่นการเป็นชาตินิยมอย่างสุดโต่ง(Nationalism) การเชิดชูเผ่าพันธุ์อารยันของเขา การพยายามรวมเผ่าพันธุ์ของตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียว แต่ท่าจะมองในอีกมุมนึง ผมก็ไม่รู้ว่านี่คือข้ออ้างของเขาที่พยายามจะใช้อำนาจที่ตัวเองมีอยู่สนอง ความต้องการของตัวเองรึเปล่า
ขอวกกลับมาที่เรื่องหลังจากการล้มเหลวไม่ได้เป็นศิลปินใหญ่เหมือนไมเคิล แองเจลโล จากความล้มเหลวครั้งนั้น เขาก็เบนเข็มสู่การเป็นทหาร จากทหารชั้นผู้น้อยสู่การเป็นผู้นำของประเทศ(Fulher) เรื่องความพยายาม ความมุ่งมั่น มานะ อดทน ผมขอยกย่องเขาในเรื่องนี้ ขอยกนิ้วโป้งใหญ่ๆให้ไปเลย โดนใจอย่างแรงงงงง!
บทบาทความเป็นผู้นำของเขาองอาจมาก บุคลิกความเป็นผู้นำของเขาไม่ได้มาเริ่มเมื่อตอนก้าวขึ้นเป็นผู้นำ แต่จะเห็นได้จากภาพถ่ายเก่าๆเมื่อครั้งยังเยาว์วัย
ชะแว๊ป————————————แว๊ปๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
โอ้……ตอนนี้ผมมาอยู่ที่บ้านแล้วครับ
พอดีตอนที่นั่งเขียนอยู่ในหอศิลป์ ติดธุระต้องเดินทางไปที่อื่นก่อน เลยไม่สามารถเขียนต่อให้เสร็จได้ในทีเดียว
มาต่อกันเรื่องของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์กันดีกว่า เรื่องที่เราต่างทราบกันก็คือ เขาเป็นคนที่จงเกลียดจงชังชาวยิวมาก ก็อีกนั่นแหละ มันไม่ได้เริ่มเกิดขึ้นจากตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่ง มันเริ่มต้นจากตอนที่เขาเป็นเด็ก(อีกแล้ว )
ในหนังสือ “การต่อสู้ของข้าพเจ้า”มีอยู่บางตอนที่เขาเล่าว่า เขาถึงขั้นที่สามารถแยกแยะระหว่างชาวยิวกับคนที่มีชาติพันธุ์เดียวกับเขาได้ ไม่รู้ว่ามีเวลาหมกมุ่นกับเรื่องแบบนี้ได้มากมายขนาดนั้นได้ยังไง
ก็ด้วยเพราะเหตุนี้แหละครับ จึงเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวขึ้น อย่างที่เราได้เห็นเห็นกันและรับรู้กันได้ผ่านสื่อต่างๆ
เฮ้อ คิดแล้วก็รู้สึกหดหู่นะครับ
หากในวันนี้ คนอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ประสบความสำเร็จกับการเป็นศิลปินใหญ่เหมือนไมเคิล แองเจลโล ฮีโร่ของเขา
ป่านนี้เราคงไม่ได้ยินเรื่องราวอันโหดร้ายจากค่ายกักกันเอาช์วิตช์ในโปแลนด์
เมื่อไม่มีค่ายกักกัน ชาวยิวก็จะไม่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
เมื่อชาวยิวไม่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชาวยิวก็จะไม่ต้องอพยพ
เมื่อชาวยิวไม่ต้องอพยพ ก็จะไม่มีประเทศอิสราเอล
เมื่อไม่มีประเทศอิสราเอล ก็จะไม่มีความขัดแย้งกันบน ฉนวนกา ซา
โอ้ ช่างน่าเสียดาย ที่มันไม่ใช่เรื่องจริง
หรือว่าธรรมชาติสร้างคนอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ขึ้นมา เพื่อควบคุมประชากรบนโลกไม่ให้มีมากจนเกินไป
แต่ก็อีกนั่นแหละ หรือว่าธรรมชาติสร้างคนอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ขึ้นมา เพื่อเป็นตัวเร่งให้คนมีลูกกันเยอะๆหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง จึงเป็นกำเนิดของยุคเบบี้บูม
ผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เราล้มเหลวก็เพื่อเดินทางไปสู่ความสำเร็จ
หากผมมีโอกาสได้นั่งคุยกับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในช่วงเวลาที่เขาเป็นผู้นำแบบตัวต่อตัว แล้วถามเขาว่าหากย้อนเวลาได้อยากเป็นศิลปินใหญ่ไหม คำตอบที่ได้รับจากเขา อาจจะเป็นคำว่า “ไม่” ก็ได้ ความล้มเหลวในครั้งนั้นนำพาเขาขึ้นสู่การเป็นผู้นำของประเทศ
และบางทีการล้มเหลวของเราซักอย่างนึง อาจจะเป็นตัวนำพาเราไปสู่การความสำเร็จอะไรซักอย่าง
ก็อีกนั่นแหละ บางทีการที่ประเทศของเรามีการเมืองที่ล้มเหลว อาจจะเป็นตัวนำพาเราไปสู่การสร้างสามัคคีให้เกิดขึ้นในประเทศ หลังจากที่เราๆทุกคนไม่ได้ตื่นตัวในเรื่องนี้กันมานานแล้ว และนั่นอาจจะเป็นความสำเร็จที่เราทุกคนกำลังจะได้รับ
แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ยังรอคอยสิ่งที่ผู้นำของผมบอกเอาไว้ว่า “จะขจัดการเมืองที่ล้มเหลว” ให้กับพวกเรา
หากท่านได้ยิน ผมจะบอกท่านว่า “ผมรออยู่นะครับ”
ประเทศไทยโคตร(รวย)
มกราคม 27, 2011
มิถุนายน 27, 2009
เบื่อกับข่าวที่นิตยสารForbes หรือกูรูทางเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายออกมาคาดการณ์ว่า GDP ของประเทศไทยจะลดลงเท่านู้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์
เบื่อกับข่าวที่รัฐบาลออกมาแก้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้ง ไทยและต่างประเทศ
ข่าวแบบนี้ออกมาทีไรมีผลกระทบกับปากท้องของคนในประเทศทั้งนั้น มันแสดงออกว่าประเทศของเราไม่ใช่ประเทศที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ดี สะท้อนว่าประเทศเราค่อนไปในทางจน แต่ผมกลับไม่เชื่ออย่างนั้นครับ กลับรู้สึกว่าเราเป็นประเทศที่รวย แล้วก็รวยเอาซะมากๆด้วย
ข้ออ้างที่ผมจะนำมายัดเยียดให้คุณเชื่อกันก็คือ พฤติกรรมการซื้อรถของคนในประเทศนี้ครับ
แม้เราจะพากันบ่นว่า ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดียังไงนะครับ แต่ในทางกลับกัน พฤติกรรมการซื้อรถมาใช้ของเรากลับแทบไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดลงและถึงจะลดลงก็ไม่ได้ลดลงมากซักเท่าไหร่
ค่านิยมในการซื้อรถของเรา ไม่ว่าจะลูกเอ็นท์ติดหรือไม่ติด พ่อแม่ที่พอจะมีตังค์ก็จะซื้อรถให้ลูกใช้ ไหนจะคนที่ทำงานแล้วบ้างที่ต่างก็ฝันว่าวันนึงเราจะซื้อรถ คงไม่ต้องพูดถึงคนที่มีครอบครัวแล้ว เดาว่าทุกครอบครัวอยากที่จะมีรถด้วยกันทั้งนั้น
สิ่งที่สะท้อนว่าเราเป็นประเทศที่มีรถเป็นประชากรชั้นสองได้อย่างดี ก็คือการที่เราเป็นประเทศที่มีการจราจรติดขัดมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลก
ก็เพราะพฤติกรรมแบบนี้แหละครับ ทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกพา กันมาตั้งฐานการผลิตที่ประเทศเรา ล่าสุดก็คือบริษัทGM(General Motor)ที่กำลังประสบปัญหาภาวะขาดทุนอย่างหนัก เหตุเพราะวิกฤติการเงินภายในประเทศ ยังมองเห็นพี่ไทยเป็นทางรอดของวิกฤตินี้ จึงมาตั้งฐานการผลิตที่นี่ ผมขอยกนิ้วให้กับทีมResearchของGM มากๆ ที่เลือกมาลงทุนในประเทศโคตรรวยประเทศนี้
คนที่น่าจะให้คำตอบกับพฤติกรรมการซื้อรถของคนไทยได้ดี น่าจะเป็นคุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณครับ เพราะเขาเคยเป็นผู้บริหารใหญ่ของบริษัทโตโยต้า มอร์เตอร์(ประเทศไทย)จำกัด คงไม่ต้องบอกนะครับว่ายอดขายของรถโตโยต้าดีแค่ไหน ไม่เชื่อคุณลองนั่งแท๊กซี่ไปในย่านถนนสีลม ทุกๆ 1 วินาทีคุณจะเห็นรถโตโยต้า
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าจะตอกย้ำให้คุณเชื่อว่า ประเทศเราเป็นประเทศโคตรรวยก็คือการผุดขึ้นของหมู่บ้านจัดสรร ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างกับอะมีบา เห็นได้จากคำโฆษณาตามสื่อต่างๆว่าราคาเท่านู้นเท่านี้ ไม่ต้องดาวน์แถมผ่อนนาน เพื่อเชิญชวนให้คนมาซื้อบ้าน ราคาเท่าไหร่ไม่รู้หรอกครับ พี่ไทยแทบจะซื้อมันดะ
สิ่งที่เป็นตัวเร่งเร้าให้เรามีเงินมาใช้จ่ายกันอย่างมือเติบก็คือ พวกเหล่า ‘แซจี๊’ ในนามบริษัทจำกัด ที่ปล่อยเงินกู้ให้พวกเรามาหว่านเงินใช้กันอย่างสนุก ไม่ว่าจะในระบบหรือนอกระบบ เราก็เลือกที่จะใช้บริการของบริษัทเหล่านี้
ล่าสุดกับการที่รัฐบาลกำลังจะกู้เงินกว่าหลายแสนล้าน ตอกย้ำถึงความร่ำรวยของประเทศเราเพิ่มขึ้นไปอีก
เพราะพฤติกรรมการบริโภคอย่างไม่รู้กำลังตัวเองแบบนี้ทำให้เราเป็นประเทศ ที่ร่ำรวยหนี้สินอย่างแทบจะสลัดไม่พ้น ไม่รู้ว่าจะใช้กี่ชั่วโคตรถึงจะหมด จนไม่สามารถพูดว่าตัวเองเป็น ‘ไท’ ได้อย่างเต็มปาก
แต่มาคิดๆดูนะครับ การที่เรามีพฤติกรรมแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะเงินที่หามาได้หรือไม่ได้หามา ตายไปก็เอาไปใช้ไม่ได้อยู่ดี การใช้เงินอย่างฟู่ฟ่าแบบนี้อ่ะดีแล้วครับ ถือว่าเราใช้ชีวิตอย่างรู้คุณค่าในอีกแบบวิธีหนึ่ง
เรื่องของใคร
มกราคม 26, 2011
มิถุนายน 24, 2009
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเขียนบล็อกโดยมีคนอื่นกำหนดเรื่องให้
คนที่กำหนดเรื่องให้ผมเขียนมันมีชื่อตามทะเบียนราษฏร์ว่า นายคุณากร สายชุม และมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า ‘ปิ๊ก’
เรื่องของเรื่อง คือมันอยากให้ผมเขียนเรื่องของมัน นัยพอจะเดาว่ามันอยากอ่านเรื่องของตัวมันเองผ่านมุมมองความคิดของผม โดยตั้งกรอบให้ผมว่า ‘มึงต้องเขียนดีๆ’
ผมไม่รู้ว่ามันต้องการอ่านอะไรจากงานเขียนของผม แต่ผมรู้ว่าผมอยากจะเขียนอะไร เพราะที่นี่ ‘ผมใหญ่’
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเห็นหน้ามันจวบจนปัจจุบันที่พอจะพบเห็นได้(โดยไม่ต้องเดินทางไปสวนสัตว์) สิ่งที่ผมสัมผัสได้ในความเป็นมันก็คือ ‘ความมั่นใจในตัวเอง’ ผมชื่นชมมันในเรื่องนี้ค่อนข้างมาก เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ผมก็เห็นมันก็เคลือบความมั่นใจไว้ด้วยตลอด ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องหน้าตาที่มันปักหมุดความเชื่อไปแล้วว่า หน้าของมันละม้ายคล้ายกับ ‘เจ มณฑล’ แต่แท้จริงแล้วหน้าของมันไม่มีเค้าความเป็นลูกครึ่งเลยซักนิด
‘ความมั่นใจ’ มีส่วนผสมระหว่างความกล้ากับความเชื่อเข้าด้วยกัน สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมเชื่อว่าเป็นพื้นฐานของการทำอะไรให้สำเร็จ
ก็อีกนั่นแหละครับ ผมเห็นมันเป็นตัวอย่างของเรื่องนี้ได้จริงๆ
สมัยที่ผมเป็นนักกีฬาบาสฯโรงเรียน ผมเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองซะเลย ลงสนามทีไรมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก จึงทำให้ทำผลงานออกมาได้แย่ เข้าข่ายเป็น ‘หมูสนามจริง สมันสนามซ้อม’ ผิดกับ ‘ไอ้ปิ๊ก’ ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่ผมเป็น ทุกครั้งที่ผมเห็นมันลงเล่น ผมไม่เคยเห็นอาการตื่นตระหนกหรือกลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้ ผลจึงออกมาคือ ‘มันทำได้ดี’
‘ความมั่นใจ’ มันไม่ได้มีประโยชน์กับชีวิตของเราเพียงอย่างเดียว แต่มันก็มีผลข้างเคียงอยู่ด้วย บางครั้งมันก็สร้างภาพหลอนให้เราหลงระเริง
ภาวะหลงตัวเองและหลงระเริงไปกับคำสรรเสริญ ทำให้เราหยุดการพัฒนาและรอวันเสื่อมถอยมาเยือน
ผมเคยพบคำคำนึงซึ่งถูกใจผมมากๆ นั่นคือ’หลงตัวเองหาทางออกยากที่สุด’ เป็นคำที่โดนใจเอามากๆ
ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่า ‘ความมั่นใจ’ ไม่ดี และสิ่งนี้ก็ดูเหมือนกับว่าจะไม่มีก็ไม่ได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะควบคุมมันยังไงให้พอดี
ทุกวันนี้ผมรู้สึกหวาดหวั่นทุกครั้งที่ได้ยินคำชื่นชม ลึกๆกลัวอยู่เสมอว่าตัวเองจะ’เหลิง’ และติดอยู่ในภาพหลอนของตัวเองที่เราเชื่อว่า ‘ตัวเองดี’
เป็นอันว่าเรื่องของ ‘ไอ้ปิ๊ก’ ก็เป็นอันจบ ผมเขียนเรื่องของมันด้วยความรู้สึกขัดแย้งอยู่ภายในตลอดเวลา ความรู้สึกคล้ายเหมือนกับตอนเด็กๆที่พาเพื่อนมาเล่นที่บ้าน แต่เรากลับหวงอาณาเขตของเราเอง และต่อแต่นี้ไปผมจะไม่ยอมให้ใครมารุกรานกับพื้นที่อิสระของผมแบบนี้
เพราะที่นี่ ผมเชื่อมั่นและมั่นใจว่า ‘ผมใหญ่’
‘เขียน’ แตก ต่าง
มกราคม 26, 2011
มิถุนายน 21, 2009
สำนวน ‘เพรียวลม’ ของอาจารย์ รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นสำนวนที่ไม่มีใครเลียนแบบได้เลย
เป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ ครั้งนึงผมเคยพยายามจะหาสิ่งที่เขาเรียกกันว่า Style (หรือสำนวนก็เรียก) เพื่อที่จะผลิตงานเขียนให้เป็นไปในแบบเฉพาะของตัวเอง สุดท้ายผมติดอยู่ในวังวนของการพยายามที่จะแตกต่างไปนานเลยที่เดียวครับ มารู้เอาตอนหลังว่า จะเหนื่อยไปทำไมวะ อยากทำอะไรก็ทำ เพราะถึงยังไงมันก็ต่างในตัวของมันเองอยู่แล้ว
จริงๆแล้วผมไม่ได้ตั้งใจจะมาพูดเรื่องสำนวนการเขียนหรอกนะครับ เรื่องที่ผมจะพูดก็คือ ‘งานวรรณกรรม’ ครับ
ผมไม่ใช่คนที่อ่านงานวรรณกรรมมาอย่างโชกโชนอะไรนะครับ ก็อ่านเท่าที่อยากจะอ่านแหละครับ แต่ก็อยากจะกระแดะที่จะเขียน
ถ้าเราพูดถึงงานศิลปะไม่ว่าจะเป็นดนตรี ประติมากรรม สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ภาพยนตร์ งานเหล่านี้ถึงแม้เราจะไม่ใช่คนที่อยู่ประเทศเดียวกับผู้สร้างงาน เราก็ยังพอที่จะเข้าใจหรือรู้สึกได้บ้างถึงสิ่งที่ผู้สร้างพยายามจะบอก อย่างเช่น เวลาเราฟังเพลงของ ฝรั่ง เกาหลี จีน ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งเพลงของประเทศเพื่อนบ้านของเรา แม้เราจะไม่เข้าใจภาษาของเขา เราก็ยังจะพอรู้ว่าอารมณ์ของเพลงนั้นเป็นเพลงสนุกหรือเพลงเศร้า หรือเวลาที่คุณชมภาพยนตร์ไม่ว่าจะหนังของชนชาติไหนในโลก คุณก้ยังพอจะดูออกว่าตัวละครเหล่านั้นรู้สึกอะไรยังไง ผ่านอากัปกิริยาต่างๆของพวกเขา เป็นต้น
ความเข้าใจเป็นสิ่งที่ทำให้เราต่อยอดจินตนาการออกไปได้ หากไม่เข้าใจแล้วก็คงไม่รู้ว่าจะคิดต่อยังไง
งานวรรณกรรม ดูจะเป็นงานที่จะต้องใช้หลักตรรกะเพื่อวิเคราะห์มากที่สุดนะครับ เพราะหากคุณไม่สามารถอ่านและเข้าใจในภาษานั้นๆแล้ว คุณก็ไม่มีทางที่จะจินตนาการตามสิ่งที่คุณอ่านได้และก็ไม่มีทางที่คุณจะเข้าใจสิ่งที่ผู้สร้างกำลังจะบอก
หากมีใครซักคนเอาหนังสือของ ประเทศบูร์กินาฟาโซ มาให้ผมอ่าน ผมก็คงไม่สามารถที่จะอ่านและเข้าใจในสิ่งที่หนังสือพยายามจะบอกได้ เช่นกัน หากผมเอาหนังสือ ‘ความน่าจะเป็น’ ของคุณปราบดา หยุ่น(ที่แม้แต่คนไทยกันเองก็ยังรู้สึกงงๆ) ไปให้คนในหมู่เกาะแฟร์โรอ่าน ก็คงไม่มีทางที่พวกเขาจะเข้าใจ
ทุกวันนี้ ผมยังมีความสุขกับการฟังเพลงฝรั่งจังหวะสนุก ที่ผมไม่เคยเข้าใจว่าเนื้อเพลงมันมีความหมายว่าอะไรอยุ่เหมือนเดิม
แต่ก็คิดอยู่เสมอว่าอยากอ่านหนังสือวรรณกรรมของต่างประเทศบ้าง หากพอจะมีปัญญา
น่าเสียดายครับ ที่เราทุกคนไม่ได้ใช้ภาษาเดียวกัน
ถ้า(ท่า)จะ
มกราคม 22, 2011
มิถุนายน 19, 2009
ตอนนี้ผมกำลังอ่านหนังสือเรื่อง แคปิตะลิสม์ ของคุณสุภา ศิริมานนท์ ครับ
เป็นหนังสือที่วิเคราะห์ระบบสังคมเศรษฐกิจอเมริกันว่าเกี่ยวข้องและส่งผลกระทบยังไงกับโลก
หนังสือเล่มนี้มีการยกตัวอย่างระบบการทำงานที่พวกนายทุนนำมาใช้และบอกเล่าถึงการต่อสู้ของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
ผมเคยเห็นฉากนึงของหนังเรื่อง ‘หมานคร’ ที่พระเอกของเรากำลังหั่นปลาอยู่ในโรงงานปลากระป๋อง ระหว่างการทำงานเครื่องจักรก็เร่งความเร็วขึ้น เร็วมากจนพระเอกของเราเผลอตัดนิ้วตัวเอง ผมไม่คิดว่าระบบการทำงานแบบนี้จะมีจริงๆครับ
ระบบนี้เรียกว่า ‘ระบบฟอร์ด(Ford System)’ ครับ
ระบบนี้เกิดมาจากการที่แรงงานพากันลุกฮือเรียกร้องให้มีการลดเวลาการทำงานลง เพราะว่าเมือก่อนแรงงานต้องทำงานกันอย่างแทบจะไม่มีเวลาพักและก็ไม่มีวันหยุดให้ พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องหาความยุติธรรมให้กับตัวเอง ผลคือแรงงานเป็นฝ่ายชนะครับ ทำให้ทางรัฐบาลต้องออกกฏหมายเพื่อกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดให้กับพวกเขา แต่พวกนายทุนหัวใสก็คิดหาวิธีเพื่อที่จะสร้างประโยชน์ให้ตัวเอง ด้วยการเร่งเครื่องจักรให้ทำงานเร็วขึ้น ทำให้กลุ่มแรงงานหนีจากการโดนเอารัดเอาเปรียบไม่พ้นต้องทำงานหนักขึ้นมากกว่าเก่า เข้าทำนองที่ว่า ‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก’ เลยครับ
ในหนังสือเล่มที่กล่าวไปข้างต้น มีการยกตัวอย่างการกำหนดระบบเศรษกิจและระบบสังคมของโลกด้วย ในหนังสือว่าไว้อย่างนี้ครับว่า
ยุคที่ 1 ระบบสังคมของชุมชนบุพพกาลหรือ Primitive Commual System
ยุคที่ 2 ระบบสังคมทาส หรือ Slavery System
ยุคที่ 3 ระบบสังคมศักดินา หรือ Feudalism
ยุคที่ 4 ระบบแคปิลิสม์ (ระบบทุนนิยม) หรือ Capitalism
ยุคที่ 5 ระบบโซชลิสม์ (ระบบสังคมนิยม)หรือSocialism
และต่อไปจะเป็นขั้นสูงสุดของวิวัฒนาการ คือ
ยุคที่ 6 ระบบคอมมิวนิสต์ หรือ Communism
ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้ตามที่หนังสือกล่าวไว้
แต่ผมขอตั้งคำถามว่าแล้วคุณธรรมและจริยธรรมของพวกเราพร้อมที่จะพาให้สังคมเดินทางไปสู่จุดนั้นกันได้หรือยัง
ซึ่งผมก็ถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่าตัวผมเองพร้อมหรือเปล่า
สมมุติว่า ถ้าผมปลูกต้นมะละกอเพื่อจะนำมาตำส้มตำ โดยที่ตัวเองเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่ต้นมะละกอต้นนี้ทุกอย่าง
แต่แล้วผมไม่สามารถเรียกว่าตัวเองเป็นเจ้าของได้ ต้องนำต้นมะละกอนี้ไปให้กับส่วนรวม ผมยังไม่รู้เลยครับว่าตัวเองจะยอมได้ไหม
ผมเคยอ่านหนังสือเรื่อง Utopia ของเซอร์ โทมัส มอร์ ที่เล่าถึงสังคมในอุดมคติ
ทุกคนในUtopiaทำงานแล้วเอาผลผลิตมารวมกันเป็นของส่วนรวม
ตอนอ่านก็รู้สึกดีมากเลยนะครับ อยากให้สังคมแบบนี้มีอยู่จริง
แต่วาระเบียบวิถีของ Utopia หลายๆอย่างเหมือนกันที่ผมไม่เห็นด้วย
ผมเชื่อว่าวันนึงเรากำลังจะเดินทางไปสู่จุดนั้นครับ จุดที่เราเรียกว่า ‘สังคมนิยม’
วันที่เราทุกคนเห็นประโยขน์ส่วนตนสำคัญเท่ากับประโยขน์ส่วนรวม
ผมหวังว่าถึงวันนั้นเราทุกคนจะทำได้ครับและผมเชื่อว่าผมก็คงจะทำได้
เพชรบนฟุตบาท
มกราคม 22, 2011
มิถุนายน 17, 2009
วันนี้ผมซื้อหนังแผ่นมาดูครับ เรื่อง The Science of Sleep ของ Michel Gondry ครับ
ผมรู้สึกชอบหนังเรื่องนี้มากๆ ชอบคาแร็คเตอร์ของพระเอกมากๆ เพราะดูเป็นคนที่แสนจะช่างจินตนาการจริงๆ
แล้วหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ หลายฉากทำให้เราไกลออกจากความจริงไปมากๆ
รู้สึกดีครับเพราะบางทีความจริงมันทำให้เรารู้สึกน่าเบื่อเกินไป
ผมได้หนังแผ่นเรื่องนี้จากแผงขายแบกับดินตรงทางออกรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพหลโยธินหมายเลข 3 ขออนุญาตเรียกว่า ‘ร้าน’ ก็แล้วกันครับ
ผมอุดหนุนหนังร้านนี้ไป 3 แผ่นแล้วครับ ตอนเจอครั้งแรกผมดีใจมากครับ
เพราะร้านนี้มีหนังหายากที่ผมอยากดูหลายเรื่อง เช่นเรื่อง Trainspotting ของ Danny Boyle ผู้หยิบรางวัล Best Director ของออสการ์คนล่าสุด และอีกเรื่องก็คือหนังอื้อฉาวห้ามฉาย ‘แสงศตวรรษ’ ของ พี่เจ้ย อภิชาตพงษ์ เป็นต้น
ผมไม่พลาดที่จะหยิบหนังสองเรื่องนี้เพราะอยากดูมานานแล้ว
ที่ใครเขาบอกว่า ‘ของดีหายาก’ บางทีอาจจะจริง เพราะกว่าจะเจอหนังทั้งสองเรื่องนี้ก็นานพอสมควร
ผมตามหาหนังทั้งสองเรื่องนี้ตามร้านขายใหญ่ๆ แต่ก็ได้คำตอบว่า ‘ไม่มีทุกครั้งไป’ พร้อมกับคนขายถามกลับมาว่า ‘หนังเรื่องอะไรนะ’
ทำไมนะครับ ที่ของดีมักจะหายากเสมอ
ยกตัวอย่างร้านก๋วยเตี๋ยวที่อร่อย ๆนะครับ บางร้านอยู่ในตรอกซอกลึกเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้ทำไม ที่คนกันพากันยกโขยงไปกินกัน
ผมเคยได้ยินดีเจคนนึงพูดผ่านรายการวิทยุว่า เขาเคยได้เสื้อเชิ๊ตแบรนด์เนมจากกองเสื้อตัวละ 99
บางทีของดีๆมันก็อยู่ในที่ที่เราไม่เชื่อว่าจะมี แต่หากมองดีๆเราก็อาจจะพบได้นะครับ
ก็กูมันหยาบกระด้าง
มกราคม 22, 2011
มิถุนายน 13, 2009
ช่วงเวลาหนึ่งครับ ผมเคยไปเรียนศิลปะกับเด็กที่กำลังจะเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย
มีวิชานึงครับที่ผมสนใจเป็นพิเศษนั่นคือวิชา ประวัติศาสตร์ศิลป์
อาจารย์ของเราบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาตั้งแต่ศิลปะในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคกรีกโบราณ อียิปต์โบราณ จนมาถึง ยุคRenaissance
แต่ละช่วงเวลาผมได้สัมผัสถึงความวิจิตรงดงามของศิลปะในยุคนั้น ๆ
จากการเปิดภาพ slide ของอาจารย์ทั้งอึ้งและทึ่งในความสามารถของศิลปินในแต่ละยุค
อาทิ ภาพ School of Athens ของ Raphael และงานแกะสลักหินอ่อนรูปพระแม่มารีกำลังโอบกอดพระเยซูของประติมากรชื่อก้องโลก Michael angelo เป็นต้น(ดูแล้วก็มาย้อนดูตัวเองนะครับ อยากทำได้แบบเขาบ้าง)
อาจารย์เล่าต่อมาถึงช่วงยุค Realism ทำให้ทึ่งและอึ้งในผลงานของเหล่าศิลปินเพิ่มขึ้นไปอีก
จากการเห็นภาพวาดของ Remblund ที่วาดได้สวยกว่ากล้องถ่ายรูปมือถือซะอีก
พอมาพบกับภาพของ Vincent Van Gogh ศิลปินกลุ่ม Impressionism ก็สร้างความประทับใจเพิ่มขึ้นไปอีกกับวิชาเรียนในวันนั้น
แล้วอาจารย์ก็เล่าต่อมาจนถึงช่วง ยุค Fauvism,Expressionism, Dadaism,Naive Art, Abstract, Cubism, Surrealism, Modern, Pop Art, และ Post modern ในปัจจุบัน
อยากจะบอกครับว่า ศิลปะนับตั้งแต่ Fauvism มาจนถึง Postmodern ช่างโดนใจและแสนจะต้องรสนิยมผมเหลือเกิน
ก็เพราะว่างานศิลปะในช่วงยุคเหล่านี้ไม่ได้มีความสวยวิจิตรเลิศเลอเท่ากับยุคสมัยก่อน แต่ในความหยาบก็สะท้อนแนวคิดที่ดีๆไว้ด้วย
บางชิ้นก็มีความกวนอารมณ์อยู่ในตัว แต่ก็ซ่อนเจตนาดีอยู่ในนั้นเหมือนกัน
ขอยกตัวอย่างที่ผมชอบซักเล็กน้อยนะครับ
งานของกลุ่ม Fauvism ที่มีการนำสีดำจัดกับขาวจัด ซึ่งอาจารย์ของผมบอกว่าหากนำมาใช้ในงานจิตรกรรมก็จะเท่ากับเป็นการทำลายภาพ
ผมค่อนข้างชื่นชมในตัว Henry Matisse ผู้นำกลุ่ม Fauvism มากๆ เพราะกล้าที่จะแหกวิถีความเชื่อในเรื่องการใช้สีจนเกิดเป็นงานศิลปะแขนงใหม่ ที่ไม่ได้ดูป่าเถื่อนและหยาบกระด้างอย่างที่มีใครเคยบอกผม
หรือจะงานของ Jackson Pollock ที่ผมมองยังไงก็ดูไม่เป็นภาพ ลืมบอกไปว่าเขาคือศิลปินกลุ่ม Expressionism
อาจารย์ผมบอกว่า ศิลปินกลุ่มนี้สร้างงานจากการถ่ายทอดอารมณ์จากภายใน รู้สึกยังไงถ่ายทอดไปอย่างนั้น
แม้งานของ Pollock จะทำให้ผมดูภาพไม่เป็นภาพ แต่ผมก็รู้สึกว่างานของ Pollock ช่างเป็นงานที่จริงใจกับคนดูเหลือเกิน
งานบางชิ้นก็ดูมีความวิจิตรเทียบเท่ากับภาพวาดในยุค Renaisance แต่อารมณ์ของภาพยังดูเป็นงานสมัยใหม่อยู่
งานที่ผมกำลังจะบอกนี้ก็คือ งานศิลปะของกลุ่ม Surrealism
ซึ่งมี Salbador Dali หนึ่งศิลปินคนหนึ่งที่ผมชื่นชอบมากที่สุดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
สวย เว่อร์ กวนตีน หลอน คงจะเป็นคำที่บอกความเป็น Surrealism ได้เป็นอย่างดี
เหล่านี้คืองานที่ผมขอยกตัวอย่างคร่าวๆนะครับ
ผมรู้สึกว่าไม่ใช่ว่าศิลปินในยุคหลังสู้ศิลปินยุคก่อนไม่ได้และไม่ใช่ว่าศิลปินในยุคก่อนจะโง่กว่าศิลปินยุคหลัง
ผมขอตั้งข้อสันนิษฐานอย่างนี้ครับว่า
คงเป็นเพราะศิลปินในยุคหลังต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ชีวิตของตัวเองรอด
เลยทำให้ไม่มีเวลาฝึกฝนและทุ่มเทกำลังกายและกำลังปัญญาผลิตงานศิลปะได้วิจิตรงดงามเท่าศิลปินยุคก่อน
และก็ผมเชื่อว่าศิลปินในยุคก่อนไม่ต้องมากังวลว่าตัวเองจะอดตายไหม
วันนี้พรุ่งนี้มะรืนนี้จะกินอะไร เพราะพวกเขาต่างก็มีผู้อุปถัมภ์หนุนหลังอยู่แล้ว จึงมีเวลาผลิตงานที่งดงามได้มากกว่า
นั่นก็เป็นอีกหนึ่งทัศนะโง่ๆ ที่ผมอยากจะนำเสนอ
บางทีเราเสพงานศิลปะในแขนงไหนก็ตาม หากเรารับรู้ผ่านทางประสาทสัมผัสภายนอกแล้วตัดสินว่างานศิลปะชิ้นนันเป็นงานศิลปะที่ไม่ดี จนลืมมองไปถึงความงดงามที่ซ๋อนอยู่ภายใน ก็ดูจะน่าเสียดายเวลาซะเหลือเกิน ที่เราไม่ได้รับอะไรเลยจากการเสพงานศิลปะชิ้นนั้นๆ
ความไม่ต่างกันของ พธม กับ รสช
มกราคม 22, 2011
มิถุนายน 11, 2009
ตั้งแต่ที่ผมเห็นพวกเขาแถลงข่าวในหน้าทีวีในวันนั้น ทำให้ผมอยากจะเขียนถึงพวกเขาในวันนี้
ผมยังจำได้ว่าย้อนไปตอนอายุเจ็ดขวบ
เคยนั่งดูทีวีแล้วเห็นภาพผู้คนพากันขย่มรถ เผาสถานที่ราชการและเอกชนหลายๆแห่งบนถนนราชดำเนิน
ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ เก็บความสงสัยไปให้ผู้ใหญ่แจงความกระจ่าง ได้ความว่า “เขาประท้วงกัน”
มารู้เอาอีกทีตอนอายุสิบขวบว่า นั่นคือเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ”
ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าต้นตอของการออกมาเดินขบวนประท้วง เกิดจากสาเหตุอะไร
รู้แต่ว่ามันน่าตื่นเต้นมาก สนุกไปอีกแบบ วุ่นวายดีชอบกล (เอ๊ะ นี่ผมเป็นคนยังไง)
ผมยังจำบทเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้เป็นอย่างดีครับ
เนื้อหาใหม่ แต่ทำนองแบบเพลง รางวัลแด่คนช่างฝัน ของจรัญ มโนเพชร
“มีดวงตะวันส่องเป็นแสงสีทอง พลตรีจำลองอดกินข้าวมาเจ็ดวัน ถูกทหารไล่ยิงและวิ่งหนีจนหัวปั่น………..”
เพลงฮอตฮิตแค่ไหนในตอนนั้นผมไม่ได้ไปทำโพลสำรวจ รู้แต่ว่าผมและเพื่อนๆในวัยประถมหลายๆคนร้องกันได้ ร้องกันจนคุณครูพากันเสียวสันหลัง
มาในปัจจุบัน ผมไม่คาดคิดว่า พระเอกในเพลงของผมคนนั้นจะออกมาโลดแล่นบนถนนราชดำเนินอีก
คราวนี้มาในมาดใหม่ครับ ในนามกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
ผมไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้อะไรของคณะเดินขบวนกลุ่มนี้หรอกนะครับ
แต่ก็เห็นๆมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนมาถึงในวันที่พวกเขากำลังจะ Mutation
จุดเริ่มต้นของขบวนสีเหลืองพิชิตมารนี้
เริ่มจากอดีตนายกคนนั้นสั่งถอดรายการวิจารณ์ข่าวชื่อดังทางข่องเก้าในตอนนั้น(หากยังจำกันได้)
สร้างความเคืองแค้นให้กับพิธีกรใส่แว่นคนนั้นเป็นอย่างมาก
ก็ด้วยเพราะความอหังการของอดีตนายกรัฐมนตรีคนนั้นนั่นเอง
ทำให้พิธีกรใส่แว่นคนนั้นกับพิธีกรสาวคู่หูของเขาพากันตระเวนด่ากราด แฉดะอดีตนายกผู้เคยอหังการคนนั้นในนามของ ”เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” จนไปปักหลักเสาเข็มที่สวนลุมอยู่พักใหญ่ เมื่อรวมกำลังได้จำนวนหนึ่งพากันยกขบวนกันไปประท้วงเป็นหนแรก แต่หาได้ สำเร็จไม่ เพราะ’สนธิ’กำลังยังไม่พอ
จากนั้นขบวนการสีเหลืองก็ขยายตัวออกไปในวงกว้างมากขึ้น ใหญ่ขึ้นและก็เยอะขึ้น จนสามารถต่อสู้กับรัฐบาลได้อย่างไม่คิดกลัว
เล่ามายาวไปแล้วครับ ขอตั้งข้อสังเกตกับขบวนการนี้ซักนิดครับ
ก่อนการรัฐประหาร 11 กันยา ในตอนนั้นที่กลุ่ม พธม ยังชุมนุมกันอย่างแข็งขัน
ซึ่งในขณะนั้นผมก็กำลังติดตามข่าวสารอย่างใจระทึก แอบเชียร์ด้วยอยู่เหมือนกัน
วันนึงผมเห็นการปรากฏตัวของผู้ชายคนนึงที่มีนาม ว่า ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ พร้อมกับการเสนอพรรคการเมืองทางเลือกใหม่
ผมตั้งคำถามในใจทันทีว่า ‘อ้าว ก็ไหนมึงเรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมิใช่หรือ ไหงเป็นงี๊ไปได้’
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมก็เลิกติดตามข่าวของขบวนการนี้ไปพักใหญ่
จนเมื่อเกิดการปฏิวัตินั่นแหละครับ
แต่ต่อมาหลังจากที่รัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์หมดวาระ จนมีการเลือกตั้งกันอีกครั้ง
ผลคือชัยชนะของพรรคพลังประชานและนายสมัครได้เป็นายกกับเขา
เป็นความผิดหวังของกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับอดีตนายกคนนั้นอย่างแรง
จนในวันที่ท่านนายกนักชิมคิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เกิดการลุกฮือของกลุ่มขบวนการเสื้อเหลืองพิชิตมารอีกครั้งนึง
ในตอนนั้นผมค่อนข้างเห็นด้วยกับขบวนการนี้เป็นอย่างมาก พร้อมกับอยากรู้ว่าการชุมนุมประท้วงเขาทำกันยังไง
ไปทดลองศึกษาดูงานอยู่ได้สองวัน ในตอนนั้นรู้สึกได้ว่า เออ นี่มันการเมืองภาคประชาชนจริง ๆว่ะ เกิดมาก็เพิ่งจะรู้จักนี่แหละ
หลังจากวันนั้นผมก็กลับมาติดตามข่าวคราวของกลุ่ม พธม อีกครั้ง ความสนใจกดทับภาพความทรงจำที่นายประชัยขึ้นเวทีไปแล้ว
จนเมื่อไม่กี่วันนี้แหละครับที่มีการแถลงข่าวของกลุ่ม พธม ซึ่งพวกเขากำลังจะออกมาบอกว่า จะจัดตั้งพรรคการเมืองที่มีชื่อว่า ”พรรคการเมืองใหม่”
ภาพของคุณประชัยในวันนั้นแวบขึ้นมาในหัวผมทันทีครับ ตอกย้ำกับสิ่งที่ผมคิดว่าพวกเขาลืมไปแล้วว่า “ประชาชนเพื่อประชาธิไตย”
บอกตรงๆครับ ผมไม่เห็นด้วยกับการที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองของพวกเขา แม้เหล่าสาวกพันธุ์แท้จะเห็นด้วยกันยังไงก็ตาม
สิบกว่าปีให้หลังนับจากวันที่ผมเห็นภาพผู้คนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในครั้งนั้น
ผมรู้แล้วครับว่าสาเหตุของการออกมาเดินขบวนของผู้คนในครั้งนั้นเกิดจากอะไร ใช่เพราะคำว่า “เสียสัตย์เพื่อชาติ” ของพลเอกสุจินดาใช่ไหม
ความจริงการจัดตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรครับ
แล้วก็การที่พลเอกสุจินดาจะก้าวขึ้นเป็นนายกก็ดูจะไม่ผิดเช่นกัน
แต่สิ่งที่ผมคิดว่าผิดว่านั่นก็คือ เป้าหมายเดิมที่ทั้งสองกลุ่มตั้งเอาไว้มันคืออะไร พวกเขาลืมมันไปแล้วรึเปล่า
หรือเพราะความโลภและความลุ่มหลงมันบังตาของพวกเขา